IoT คืออะไร

ความหมายของคำว่า Internet of things หรือ IoT คืออะไร หลายคนทุกคลุกคลีอยู่กับวงการ IT หรือ Telecom อาจจะได้ยินคำนี้มาบ่อยครั้งในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา เพราะ IoT คือระบบ Internet network ที่เชื่อมต่ออุปกรณ์ไฟฟ้า, ยานพาหนะ, อาคารสำนักงาน หรืออุปกรณ์จำพวกที่มีแผงอิเล็กทรอนิคภายใน เพื่อให้สามารถติดต่อแลกเปลี่ยนข้อมูลกันเองได้ บางคนอาจจะคิดว่ามันเป็นสิ่งค่อนข้างไกลตัว แต่ถ้าเราลองมองย้อนกลับไปดูว่าเริ่มต้นเรามี internet ใช้กันเมื่อไร จากเดิมที่เราต้องใช้ PC LAN ในการเชื่อมต่อ เราก็เริ่ม Labtop ที่สามารถเชื่อมต่อ internet ผ่านทาง wifi ได้จากทุกที่ ต่อมาไม่นานโทรศัพท์มือถือที่เราใช้สื่อสารกันก็เริ่มพัฒนากลายเป็น Smart phone ที่สามารถเชื่อมต่อ internet ผ่าน 3G, 4G ได้โดยไม่ต้องอาศัย wifi ที่มีพื่นที่จำกัด และยังมีอุปกรณ์อีกอื่นๆอีกมากมายที่เริ่มสามารถเชื่อมต่อสู่ Internet ได้ตามไปเช่น นาฬิกา, กล้องวงจรปิด, GPS ซึ่งอุปกรณ์เหล่านี้รอบตัวมันกำลังจะเข้าสู่ระบบ internet ทั้งหมดเช่นกัน ซึ่งคาดการกันว่าในปี 2020 จะมีอุปกรณ์มากกว่า 50,000 ล้านตัวที่เชื่อมต่อสู่โลก internet เลยเป็นที่มาของคำว่า Internet of things (IoT) หรืออาจจะเรียกว่า Internet of everything ก็ได้

โดยปกติแล้ว Iot จะเกิดขึ้นได้จะต้องมีปัจจับนสนับสนุนอยู่หลายอย่างด้วย เพราะการจะทำให้อุปกรณ์จำนวนมากหลากหลายชนิดสามารถเชื่อต่อกัน ระบบจะต้องสามารถรองรับ protocol หลายรูปแบบ รวมถึง domains และ applications ที่มีอยู่ทุกวันนี้ทั้งหมด และที่ยากที่สุดคือ ส่วนของ bandwidth มหาศาลที่ต้องรองรับการใช้งานของอุปกรณ์พร้อมๆ อีกทั้งต้องครอบคลุมพื้นที่ได้กว้างมาขึ้นด้วย ซึ่งทำให้เกิดการแข่งขันที่สูงขึ้นระหว่างบริษัทที่เป็น operator ทางด้าน mobile internet ในขณะนี้

ประวัติของ Internet of things (IoT)

ในปัจจุบันนี้ ปี 2016 ภาพของ Internet of things (IoT) เรามี technology เกิดขึ้นมามากมาย เช่น การสื่อสารไร้สาย, real-time analytics, machine learning และ ที่สำคัญที่สุดคือ embedded system ซึ่งปัจจุบันฝังอยู่ในอุปกรณ์ไฟฟ้ามากมาย และแน่นอนมันกำลังจะต้องถูกพัฒนาให้รองรับ Internet of things (IoT) ในเวลาอันใกล้นี้

Concept ของ Internet of things หรือ IoT เริ่มต้นเมื่อปี 1982 จากการพัฒนาเครื่องจักรให้สามารถรายงานสภาพแวดล้อมของเครื่องได้ จนมาถึงปี 1999 มีการเผยแพร่ข้อมูลการใช้งาน Radio-frequency identification (RFID) ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นยุคเริ่มแรกของ Internet of things หรือ IoT ก็ว่าได้เพราะอุปรณ์ที่ได้ทำหน้าที่เสมือน client ได้ส่งข้อมูลไปยัง server ผ่าน RFID ในการยืนยันตัวตนของอุปกรณ์นั้น เปรียบได้กับการเชื่อมต่อสู่โครงข่าย network ขนาดเล็กได้แล้ว ซึ่งแนวคิดนี้ถูกต่อยอดเป็นคำว่า Internet of things ได้ก็ต่อเมื่ออุปกรณ์ที่ใช้งานในชีวิตประจำวันโดยผู้คน สามารถระบุตัวตนของอุปกรณ์แต่ละตัวได้ และระบบสามารถจัดเก็บข้อมูลดังกล่าวไว้ ดังเช่น RFID ที่มี tagging บ่งบอกตัวตนแต่ละอุปกรณ์

แนวคิดของการระบุตัวตนของ Internet of things (IoT)

เริ่มต้นมากจาก Auto-ID Center ที่ใช้งานใน RFID-tag ซึ่งจะมีค่าเฉพาะแต่ละอุปกรณ์ผ่านทาง Electronic Product Code ซึ่งสำหรับ Internet of things (IoT) คงหนีไม่พ้น IP address หรือ URI ซึ่งการเชื่อมต่อ Internet ก็หมายความว่าแต่ละอุปกรณ์จะต้องมี IP address ไม่ซ้ำกันเลยเพื่อระบุตัวตนได้ แต่ด้วยข้อจำกัดของ IPv4 (มีได้เพียง 4.3 พันล้าน IP address) ทำให้ IoT ที่จะเกิดขึ้นได้ต้องรอเปลี่ยนมาใช้งานใน IPv6 (3.4×10³⁸ IP address)เพื่อให้สามารถรองรับอุปรณ์จำนวนมหาศาลที่จะเกิดขึ้นได้

IoT framework

ส่วนของ IoT framework มีส่วนช่วยให้ให้อุปกรณ์เชื่อมต่อหากันได้สะดวกขึ้น แมร่งอุปกรณ์เหล่านั้นจะมีความซับซ้อน ปัจจุบันนี้ IoT framework เน้นในเรื่องดึงข้อมูลที่ real-time ตัวอย่างเช่น Jasper หรือ Xively โดยมีระบบพื้นฐานในการทำงานร่วมกันระหว่างอุปกรณ์ แต่ในอนาคตน่าจะต้องใช้ software เฉพาะด้านเพื่อให้ทำงานกับ hardware ที่มีใช้งานอยู่ใน Internet of things

REST มีความเป็นไปได้สูงที่จะถูกนำมาประยุกค์ใช้กับ IoT ในการส่งข้อมูลไปยัง Web server เพราะเป็น API ที่ขยายเพิ่มได้ง่าย และสามารถใช้งานบน Hypertext Transfer Protocol หรือ HTTP ได้ง่าย

Author: Suphakit Annoppornchai

Credit: https://saixiii.com, https://en.wikipedia.org